บอสตันเฟิร์น Boston Fern
เฟิร์นเป็นพืชคู่โลกที่มีมานานแสนนานแล้วชนิดหนึ่ง ดังปรากฏหลักฐานจากร่องรอยในหินฟอสซิลที่ขุดพบ เฟิร์นยังเป็นไม้ประดับยอดนิยมชนิดหนึ่งที่นิยมนำมาปลูกเป็นไม้ประดับทั้งในและนอกอาคาร บอสตันเฟิร์นมีลักษณะก้านใบแข็งโค้งออกและทิ้งตัวลงเมื่ออายุมากขึ้น ใบขึ้นหนาทึบ ไม่มีดอก นิยมปลูกในกระถางแขวนหรือในกระถางใช้ประดับตามเสาหิน เมื่อนำมาปลูกเป็นไม้ประดับในอาคาร บอสตันเฟิร์นต้องการการดูแลพอสมควร เนื่องจากเป็นพืชที่ต้องการความชุ่มชื้นอย่างสม่ำเสมอ ถ้าขาดน้ำสีของใบจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลและร่วงอย่างรวดเร็ว จึงควรหมั่นรดน้ำให้ดินชุ่มชื้นหรือฉีดพ่นด้วยละอองน้ำสม่ำเสมอ
บอสตันเฟิร์น เป็นไม้ประดับที่ช่วยทำความสะอาดให้แก่อากาศภายในได้ดีชนิดหนึ่ง สามารถดูดสารพิษได้มาก โดยเฉพาะสารจำพวกฟอร์มาดีไฮด์ และยังช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่อาคารภายในอาคารได้เป็นอย่างดี
ชื่อวิทยาศาสตร์:Nephrolepis exaltata
วงศ์:POLYPODIACEAE
ถิ่นกำเนิด:เขตร้อน
แสงแดด:กึ่งแดด
อุณหภูมิ:18–24 องศาเซลเซียส
ความชื้น:ต้องการความชื้นสูง
น้ำ:ต้องการน้ำมาก
การดูแล:หมั่นรดน้ำให้ดินชุ่มชื้นอยู่เสมอ แต่อย่าให้แฉะ โดยเฉพาะเวลาที่อากาศร้อนและแห้งควรฉีดพ่นละอองน้ำ ให้ใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักละลายน้ำให้เดือนละครั้ง
การปลูก:ขึ้นได้ดีในดินร่วนที่เก็บความชื้นได้ดี ส่วนผสมของดิน ใช้ดินร่วน ทราย เศษอิฐหัก ใบไม้ผุ ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอก ในอัตราส่วนเท่าๆ กัน
การขยายพันธุ์:การแยกกอ
อัตราการคายความชื้น:มาก
อัตราการดูดสารพิษ:มาก
เบญจมาศ Chrysanthenum
เบญจมาศเป็นไม้ล้มลุกขนาดเล็กที่ดอกมีสีสันสดใส นิยมนำมาปลูกเป็นไม้ประดับกลางแจ้ง ใช้คลุมดินตามแนวทางเดินหรือริมรั้วเพราะเป็นต้นไม้ที่ชอบแดด แต่เบญจมาศก็สามารถนำมาปลูกเป็นไม้ประดับภายในอาคารได้เพราะถ้ามีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมก็สามารถออกดอกได้สวยงาม จึงเป็นที่นิยมนำมาเป็นไม้ประดับภายในอาคารเพื่อสร้างสีสันสดใสให้กับสถานที่ แต่มีน้อยคนนักที่จะรู้ว่าเบญจมาสเป็นไม้ประดับที่มีความสามารถสูงมากในการดูดสารพิษภายในอาคาร
เบญจมาศ เป็นไม้ขนาดเล็กสูงประมาณ 1-3 ฟุต ตามกิ่งก้านและลำต้นมีขนละเอียด ใบเรียวรี ขอบใบหยัก ใบสีเขียวอ่อนนุ่มมีขนอ่อนๆ ทั่วทั้งใบ ดอกกลม กลีบใบจะซ้อนๆ กันมีหลากหลายสี เช่น สีแดง สีบานเย็น สีขาว สีม่วง น้ำเงิน สีเหลือง เบญจมาศเป็นไม้กลางแจ้งที่ชอบแดด ต้องการน้ำปานกลาง และความชื้นอย่างสม่ำเสมอ ดังนั้นเมื่อนำมาปลูกภายในอาคารจึงควรตั้งไว้ในที่ๆ แสงแดดส่องถึง รดน้ำอย่างสม่ำเสมอก็จะสามารถออกดอกได้ตลอดทั้งปี
นอกจากดอกที่มีสีสันสดใสทำให้บรรยากาศภายในสดชื่นสว่างไสว ซึ่งเป็นลักษณะเด่นของเบญจมาศแล้วเบญจมาศยังเป็นไม้ประดับที่มีความน่าสนใจมาก อันเนื่องมาจากประสิทธิภาพในการดูดสารพิษสูงมาก จำพวกสารพิษ ฟอร์มาดีไฮด์ เบนซีน และแอมโมเนีย จึงไม่ควรมองข้ามที่จะหาเบญจมาศมาปลูกในสำนักงานหรือบ้านเรือน
ชื่อวิทยาศาสตร์:Chrysanthemum monrifolium
วงศ์:COMPOSITAE
ถิ่นกำเนิด:จีน ญี่ปุ่น
แสงแดด:แดดจัด
อุณหภูมิ:18–24 องศาเซลเซียส
ความชื้น:ต้องการความชื้นสูง
น้ำ:ต้องการน้ำมาก
การดูแล:เบญจมาศเป็นพรรณไม้ที่ต้องการแสงมากเมื่อปลูกเป็น ไม้ประดับในอาคารจึงควรตั้งไว้ริมหน้าต่างหรือในที่ๆ มีแสงส่องถึง ต้องการน้ำพอสมควร และต้องการความชื้นมากจึงควรหมั่นฉีดพ่นละอองน้ำ ใส่ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกเดือนละ 1-2 ครั้ง
การปลูก:เป็นพรรณไม้ที่ปลูกที่แสงแดดจัด กึ่งแดด เบญจมาศชอบดินร่วนซุยที่อุดมด้วยอินทรียวัตถุ ส่วนผสมของดินใช้ดินร่วน 2 ส่วน ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอก 1 ส่วน เศษใบไม้ผุ 1 ส่วน
การขยายพันธุ์:โดยการเพาะเมล็ด
อัตราการคายความชื้น:มาก
อัตราการดูดสารพิษ:มาก
เยอบีร่า
Gerbera Daisy
เยอบีร่าเป็นไม้ประดับที่มีดอกสีสวยสดใส และคงทนอยู่ได้นานแม้จะตัดออกมาปักแจกันแล้วก็ยังอยู่ได้นานหลายวัน จึงเป็นไม้ประดับที่นิยมนำมาประดับภายในอาคาร เพราะไม่เพียงแต่ความสวยเท่านั้น เยอบีร่ายังมีประสิทธิภาพสูงในการดูดสารพิษภายในอาคารได้อย่างดีเยี่ยมอีกด้วย เยอบีร่าเป็นพรรณไม้พุ่ม มีลำต้นอยู่ใต้ดิน ใบเป็นแฉกมีสีเขียวสด ก้านใบและใบมีขนละเอียด ก้านดอกแตกออกจากลำต้นใต้ดินยาวตั้งตรง ดอกมีสีสันหลากหลาย เช่น แดง ส้ม เหลือง หรือแม้แต่ม่วง ชมพู และขาว เป็นต้น
เยอบีร่า เป็นไม้ประดับอีกชนิดหนึ่งที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่า มีความสามารถสูงในการดูดสารพิษจากอากาศภายในอาคาร มีอัตราการคายความชื้นสูง ประกอบกับมีความสวยงาม จึงเป็นไม้ประดับอีกชนิดหนึ่งที่มีคุณค่าและเหมาะแก่การปลูกไว้ประดับในอาคารสำนักงานและบ้านเรือน
ชื่อวิทยาศาสตร์: Gerbera Jamesonii
วงศ์: COMPOSITAE
ถิ่นกำเนิด: อาฟริกาใต้
แสงแดด: แสงแดดจัด กึ่งแดด
อุณหภูมิ: 16–18 องศาเซลเซียส
ความชื้น: ต้องการความชื้นปานกลาง
น้ำ: ต้องการน้ำปานกลาง
การดูแล: เป็นพืชที่ชอบแสงแดดจัด ต้องการน้ำและความชื้นในระดับปานกลาง จึงควรให้น้ำอย่างเพียงพอ แต่อย่าให้แฉะ ให้ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกอย่างสม่ำเสมอ
การปลูก: เจริญเติบโตได้ดีในดินอุดมสมบูรณ์และร่วนซุย ใช้ดินร่วน ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอก เศษใบไม้ผุ ทรายหยาบ ในอัตราส่วน 2:1:1:1
การขยายพันธุ์: การแบ่งหน่อหรือแยกกอ
อัตราการคายความชื้น: มาก
อัตราการดูดสารพิษ: มาก
เดหลี Peace Lily
เดหลีเป็นไม้ประดับที่โดดเด่นมากชนิดหนึ่ง เนื่องจากให้ดอกสีขาวที่สวยงาม จึงเป็นที่นิยมนำมาปลูกเป็นไม้ดอกไม้ประดับภายในอาคาร เป็นไม้ที่คายความชื้นสูง ในขณะที่มีความสามารถสูงในการดูดพิษภายในอาคาร เดหลีเป็นไม้ประดับที่มีใบสีเขียวเข้มมันเป็นวาว ดอกเป็นช่อสีขาวหรือขาวแกมเหลือง กาบหุ้มช่อดอกมีสีขาวคล้ายดอกหน้าวัว เป็นไม้พุ่มเตี้ยสูงประมาณ 30–60 เซนติเมตร โดยธรรมชาติแล้วเดหลีชอบขึ้นอยู่ตามริมลำธารที่มีร่มเงาในป่าฝนเขตร้อน แต่เมื่อนำมาปลูกเป็นไม้ดอกไม้ประดับภายในอาคารเดหลีก็สามารถปรับตัวได้ดี และเป็นไม้ดอกไม้ประดับในจำนวนน้อยชนิดที่สามารถออกดอกได้ภายในอาคาร ถึงแม้จะมีความชื้นต่ำและได้รับแสงจากหลอดไฟฟ้าเท่านั้น เพียงแต่ดินต้องมีความชุ่มชื้นอยู่เสมอ
เดหลี สามารถดูดสารพิษจำพวกแอลกอฮอล์ อาซีโตน ไตรคลอไรเอทีรีน เบนซีนและฟอร์มาดีไฮด์ และสามารถดูดได้ในปริมาณมาก จึงไม่ควรลืมที่จะปลูกเดหลีเป็นไม้ประดับไว้ภายในอาคารสำนักงานหรือภายในบ้านเรือน
ชื่อวิทยาศาสตร์: Spathiphyllum Clevelandii
วงศ์: ARACEAE
ถิ่นกำเนิด: โคลัมเบีย เวเนซูเอลา
แสงแดด: แสงแดดอ่อน รำไร
อุณหภูมิ: 16–24 องศาเซลเซียส
ความชื้น: ต้องการความชื้นสูง
น้ำ: ต้องการน้ำปานกลาง
การดูแล: ควรรดน้ำอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ดินมีความชุ่มชื้น ควรรดมากขึ้นถ้าอากาศร้อน แต่ถ้าอากาศเย็น ก็ลดปริมาณการรดน้ำลง ใช้ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกละลายน้ำรดเดือนละ 1–2 ครั้ง หมั่นทำความสะอาดใบจะช่วยป้องกันแมลงได้
การปลูก: ปลูกลงกระถางโดยใช้ส่วนผสมของ ดินร่วน ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอก เศษใบไม้ผุ และทรายหยาบ ในอัตราส่วน 2:1:1:1
การขยายพันธุ์: การแยกกอ
อัตราการคายความชื้น: มาก
อัตราการดูดสารพิษ: มาก
กุหลาบพันปี Azalea
กุหลาบพันปีเป็นต้นไม้ที่เติบโตอยู่บนที่สูงและชอบอากาศหนาวเย็น สำหรับในเมืองไทยพบได้ตามยอดเขาสูงแถบภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และมีการนำกุหลาบพันปีมาปลูกเป็นไม้ประดับประปราย โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาวเนื่องจากมีดอกที่สวยงาม และเมื่อหมดดอกก็จะเติบโตในกระถางได้แต่จะออกดอกน้อยลง เมื่อพ้นฤดูหนาว
กุหลาบพันปี เป็นไม้พุ่มสูงประมาณ 1-3 เมตร ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับรูปรีแกมรูปไข่กลับ กว้าง 1-2.5 ซม. ยาว 2-6 ซม. แผ่นใบเหนียวหนา มีขนประปรายทั้ง 2 ด้าน ดอกสีแดงแกมส้ม ออกเป็นช่อที่ซอกใบหรือปลายกิ่ง จำนวน 2-7 ดอก กลีบรองดอกรูปถ้วยตื้น ปลายแยก 5 แฉก ด้านนอกมีขน กลีบดอกรูปกรวย ยาว 2-3 ซม. ปลายแยก 5 แฉก เกสรตัวผู้ 10 อัน ผลรูปไข่ ยาว 1-1.5 ซม. มีขนสีน้ำตาลแดง เมื่อแก่แตกตามยาว เมล็ดแบน ขนาดเล็ก มีปีกบางใสจำนวนมาก
กุหลาบพันปี เป็นพืชที่ชอบน้ำ เครื่องปลูกจะต้องมีความชุ่มชื้นอยู่เสมอ แต่ไม่ขังแฉะ ถ้าหากปล่อยให้เครื่องปลูกแห้ง อาจจะทำให้ตายได้ เนื่องจากว่ารากของอาซาเลียมีขนาดเล็กมาก และถ้าหากสูญเสียน้ำมากอาจจะทำให้รากแห้งตาย และมีผลต่อการเจริญเติบโตได้
การปลูกกุหลาบพันปีภายในอาคารนอกจากความสวยงามของดอกที่จะสร้างบรรยากาศให้กับห้องแล้วกุหลาบพันปียังมีคุณสมบัติในการดูดสารพิษได้ดีอีกด้วย
ชื่อวิทยาศาสตร์: Rhododendron moulmeinene Hook
วงศ์: ERICACEAE
ถิ่นกำเนิด: จีนตอนใต้ ไต้หวัน ญี่ปุ่น ลาว และเวียดนาม
แสงแดด: แดดร่มรำไร
อุณหภูมิ: 14-18 องศาเซลเซียส
ความชื้น: ต้องการความชื้นปานกลาง
น้ำ: ชอบน้ำมากแต่ไม่ขังแฉะ
การดูแล: อาซาเลียเป็นพืชชอบน้ำ เครื่องปลูกจะต้องมีความชุ่มชื้นอยู่เสมอ แต่ไม่ขังแฉะ
การปลูก: เครื่องปลูกจะต้องอุ้มน้ำได้ดี ร่วนซุย แต่ต้องระบายน้ำได้ดีเช่นกัน ถ้าเครื่องปลูกแน่นมาก รากจะชอนไชในเนื้อดินหรือเครื่องปลูกไม่ได้ทำให้ไม่เจริญเติบโต ควรใช้ดินร่วนผสมกับแกลบ ขุยมะพร้าว ปุ๋ยคอก หรือปุ๋ยหมักเป็นเครื่องปลูก
การขยายพันธุ์: ปักชำกิ่งและเพาะเมล็ด
อัตราการคายความชื้น: น้อย
อัตราการดูดสารพิษ: ปานกลาง
มังกรคาบแก้ว
Christmas Cactus
มังกรคาบแก้วเป็นไม้ประดับที่ปลูกเลี้ยงประดับได้เป็นสองแบบ คือในช่วงฤดูการเจริญเติบโตทางต้นและใบจะสวยงามคล้ายไม้ใบจำพวกกระบองเพชรที่มีใบสีเขียวหัวห้อยลง แต่เมื่อเข้าฤดูหนาวอากาศเย็นและกลางวันสั้นลง กลางคืนยาวนานจะกระตุ้นให้ออกดอกสีสันสวยงาม และดอกจะบานเต็มที่ในช่วงเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่
มังกรคาบแก้ว เป็นไม้อวบน้ำในกลุ่มกระบองเพชร กิ่งและใบมีสีเขียวเข้ม ใบมีลักษณะแบน ขอบใบหยักคล้ายใบเสมา ดอกมีสีสดสวยและมีมากมายหลายชนิดหลายพันธุ์จึงมีสีสันต่างกันไป เช่น แดง ส้ม ม่วง เหลือง และชมพู
มังกรคาบแก้ว เป็นพืชที่ขยายพันธุ์ง่าย ปลูกเลี้ยงง่าย สามารถปลูกเลี้ยงได้ทั้งภายนอกและภายในอาคาร ควรปลูกเลี้ยงให้ได้แสงจัด แต่ไม่ใช่แสงแดดโดยตรง ควรแขวนกระถางไว้ในที่ที่มีอากาศโปร่งถ่ายเทลมดี
ชื่อวิทยาศาสตร์: Schlumbergera
วงศ์: CACTACEAE
ถิ่นกำเนิด: ประเทศบราซิล
แสงแดด: แสงจัดแต่ไม่ใช่แสงแดดโดยตรง
อุณหภูมิ: 16-24 องศาเซลเซียส
ความชื้น: ต้องการความชื้นสูง
น้ำ: ต้องการน้ำปานกลาง
การดูแล: ควรปลูกเลี้ยงให้ได้แสงจัด แต่ไม่ใช่แสงแดดโดยตรง ควรแขวนกระถางไว้ในที่ที่มีอากาศโปร่งถ่ายเทลมดี แต่มีความชื้นสูง รดน้ำวันละ 1 ครั้ง ใช้ปุ๋ยสูตร 8-30-15 หากจะให้ดอกดก หรือใช้สูตร 14-14-14 ควบคู่กับสูตร 8-24-24 ในช่วงฤดูหนาว
การปลูก: เครื่องปลูกที่ระบายน้ำและถ่ายเทอากาศได้ดี เช่น กาบมะพร้าวสับขนาดกลางผสมกับใบก้ามปูผุ
การขยายพันธุ์: การปักชำ
อัตราการคายความชื้น: ปานกลาง
อัตราการดูดสารพิษ: ปานกลางถึงมาก
บีโกเนียใบมัน Wax Begonia
บีโกเนียใบมันเป็นไม้ประดับที่นิยมปลูกในบ้านเรา เพราะมีใบเป็นมันสวยและดอกมีสีสันสวย ปลูกประดับได้ทั้งใบและดอก ชอบแดดรำไรและอากาศค่อนข้างเย็น จึงต้องปลูกในเรือนชำหรือในที่ร่มและต้องระวังไม่ให้โดนฝน เพราะจะเป็นเชื้อราและเน่าตายได้ง่าย
บีโกเนีย ใบมันเป็นไม้อวบน้ำอายุยืน มีเหง้าอยู่ใต้ดิน ลำต้นสูงประมาณ 15-45 ซม. ใบเป็นใบเดี่ยวสีเขียวเข้ม เป็นมันเงา มีขนเหมือนกำมะหยี่ มีลักษณะคล้ายรูปหัวใจเบี้ยว คือแผ่นใบสองข้างไม่เท่ากัน ใบออกสลับเวียนรอบลำต้น ดอกออกเป็นช่อแทงออกจากซอกใบ ช่อดอกตัวผู้แยกจากช่อดอกตัวเมียแต่อยู่บนต้นเดียวกัน ดอกตัวมีเมียมีรังไข่ที่โป่งออกเป็นปีกสามแฉกที่โคนดอก ดอกตัวเมียบานทนกว่าดอกตัวผู้ ดอกมีหลายสี เช่น แดง ชมพู ส้ม ขาว
คุณสมบัติของบีโกเนียในการขจัดสารพิษในอากาศและคายความชื้นอยู่ในระดับน้อย
ชื่อวิทยาศาสตร์: Begonia sempreflorens
วงศ์: BEGONIACEAE
ถิ่นกำเนิด: เอเชีย และ อเมริกา
แสงแดด: แสงแดดรำไร
อุณหภูมิ: 16-20 องศาเซลเซียส
ความชื้น: ต้องการความชื้นปานกลาง
น้ำ: ต้องการน้ำปานกลาง
การดูแล: ควรวางบริเวณที่มีแสงแดดรำไร รดน้ำปานกลาง อย่าให้แฉะ และควรรดปุ๋ยทางใบ ทุกๆ 2 สัปดาห์
การปลูก: ดินที่ใช้ปลูกควรเป็นดินร่วนซุยที่มีความอุดมสมบูรณ์ ระบายน้ำได้ดี
การขยายพันธุ์: เพาะเมล็ด ปักชำยอดและใบ
อัตราการคายความชื้น: น้อย
อัตราการดูดสารพิษ: น้อย
ที่มา:http://www.panmai.com/Pollution/Pollution_34.shtml
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น