.......ไม้ประดับ.......

วันพุธที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2555

ไม้ประดับ:สับปะรดสี

ไม้ประดับ:บอนสีต่างๆ

ไม้ประดับ:พรรณไม้ประดับ

ไม้ประดับ:ไม้ดอกไม้ประดับที่หายาก

เทียนขาว

พวงแก้วกุดั่น

หมักม่อ

เมเปิลญี่ปุ่น


พุดน้ำ

ที่มา:http://www.akitia.com/





ไม้ดอกไม้ประดับและของแต่งสวนราคาถูก

Bonsai บอนไซ ไม้ประดับอันทรงสเน่ห์ตลอดกาลในโลก




                  คำว่า " บอนไซ" เป็นคำในภาษาญี่ปุ่นหมายถึง ไม้แคระ อันหมายถึงต้นไม้ซึ่งปกติแล้วจะ

มีขนาดใหญ่แต่เอามาเลี้ยงให้แคระ โดยยังคงลักษณะเดิมอยู่ทุกประการ มองดูแล้วเหมือน

ต้นไม้ใหญ่ที่ย่อส่วนลงมา ไม่ว่าจะเป็นกิ่งก้านหรือแม้แต่ใบก็มีขนาดเล็กลงสมตัวด้วย

                   แม้เราจะรู้จักบอนไซว่าเป็นภาษาญี่ปุ่น แต่ความจริงแล้วบอนไซถือกำเนิดมาจากจีน ตั้งแต่

สมันราชวงศ์จิ้น ประมาณปีพุทธศักราช 800 - 900 ไม้แคระภาษาจีนออกเสียงว่า " บุ่ง

ไช่ " มีความหมายถึงการตัดแต่งต้นไม้ในกระถาง ส่วนการจัดสวนถาดหรือต้นไม้ย่อส่วน

ประดับทิวทัศน์นั้น มาเริ่มนิยมกันในสมัยราชวงศ์ถัง ประมาณปีพุทธศักราช 1160 และ

เป็นงานอดิเรกที่ขึ้นชื่อของคนในสมัยนั้น



                    เมื่อญี่ปุ่นเข้ามามีความสัมพันธ์กับจีนในสมัยราชวงศ์ฮั่น ประมาณปี พ.ศ.337-764 

ศิลปวัฒนธรรมจีนก็เริ่มเข้าไปมีอิทธิพลต่อประเทศญี่ปุ่นอย่างมาก มาจนสมัยราชวงศ์

หยวน (พ.ศ.1823 - 1911) ญี่ปุ่นก็ได้นำเอาศิลปะของไม้ย่อส่วนหรือไม้แคระเข้าสู่

ประเทศ โดยชาวญี่ปุ่นที่เดินทางมาติดต่อราชการกับจีน หลังจากนั้นก็มีคนจีนที่เดินทางไป

ญี่ปุ่นได้นำเอาศิลปะของการเลี้ยงไม้แคระไปเผยแพร่ และนี่คือจุดเริ่มต้นของบอนไซใน

ญี่ปุ่น อย่างไรก็ตาม แม้ว่าที่มาของไม้แคระจะเริ่มจากจีน แต่ญี่ปุ่นกลับเป็นผู้ที่หลงไหลใน

เสน่ห์ของไม้ย่อส่วนนี้ และได้พัฒนาศิลปแขนงนี้เรื่อยมา โลกส่วนใหญ่ได้รับรู้การแพร่

กระจายของศิลปการเลี้ยงไม้แคระจากญี่ปุ่น ดังนั้นเราจึงน่าจะให้เครดิตชาวญี่ปุ่นในเรื่องนี้










การปลูกต้นไม้ในบ้าน : ไม้ประดับ ไม้เลื้อย

การปลูกต้นไม้ในบ้าน : ไม้ประดับ ไม้เลื้อย
           1.ไม้ประดับ ตกแต่ง (ornament) จะเป็นไม้เล็ก ล้มลุก ไม้คลุมดิน และไม้ดอกที่เราจะจัดพุ่มหรือจัดกลุ่ม ประกอบกับไม้ใหญ่ หรือไม้หลัก ให้ผสมกลมกลืนกันไป แล้วแต่รูปแบบที่เราต้องการ หรือแล้วแต่สไตล์ของสวน เราสามารถเลือกปลูกได้ตามความแตกต่างของขนาดความสูง รูปทรง สี โดยให้สลับหรือผสมกลมกลืนกันก็ได้ แล้วแต่ความชอบ เช่นผกากรอง กระดุมทอง ฤษีผสม ดาดตะกั่ว ม้าลาย เป็นต้น แต่อยากแนะนำให้หาไม้พันธุ์พื้นเมือง ที่ดูแลง่ายหน่อย เพราะขึ้นง่าย ตายยาก ไม่ต้องประคบประหงม หรือเปลี่ยนกันบ่อยๆ การจัดให้เรียงตามลำดับความสูง คือให้ต้นสูงกว่าอยู่ด้านหลัง และต้นเตี้ยคลุมดินอยู่ด้านหน้า จะจัดเป็นกลุ่มหรือเป็นแนวตรงหรือโค้งได้ตามความเหมาะสม หรือปลูกล้อมไม้ใหญ่เป็นกลุ่ม หรือปลูกต้นไม้ที่มีใบละเอียดสลับกับใบหยาบ สำหรับคนที่ปลูกเองไม่ได้ให้ช่างหรือใครออกแบบ ก็ต้องดูจากหนังสือ ดูรูปเยอะๆ แล้วเลือกสไตล์ที่ชอบ ไปประยุกต์เอาเองได้ 


             2. ไม้เลื้อย (vine) เป็นไม้ล้มลุก ไม่สามารถปลูกไว้ในดินเฉยๆได้ จึงต้องทำอะไรให้มันเกาะ หรือปลูกตามรั้ว มักมีดอกสวย หรือกลิ่นหอม ถ้าสร้างเรือนหรือระแนงสวยๆ ก็จะช่วยเสริมให้สวนดูสวยงามขึ้นอีกมาก บางชนิดเกาะตามผนังตามกำแพงได้ เราสามารถจัดทำเป็นมุมนั่งเล่น นอกบ้านได้ด้วยซุ้มระแนงรูปแบบต่างๆมากมาย ไม้เลื้อยของไทยมีหลายชนิด เช่น พวงหยก อัญชัน สร้อยอินทนิล ถ้วยทอง เล็บมือนาง สายหยุด พวงชมพู เป็นต้น 


           6.ไม้เลี้ยงสะสม (collecting) ไม้ประเภทนี้ต้องดูแลเป็นพิเศษ โดยมากจะมีราคาแพง มักไม่จัดรวมกับไม้อื่นๆ แต่จะแยกเป็นนั่งร้าน หรือชั้นวาง เรียงกันไป เพื่อให้เห็นเด่นชัด เป็นต้นต้นไป เช่นไม้แคระ(bonsai) ไม้ดัด บอนสี โป๊ยเซียน ตะบองเพชร ไม้เลี้ยงพวกนี้ถ้าออกแบบจัดตั้งดีๆ หรือจัดกลุ่มแบบไม้ประดับ ก็เป็นสวนสวยได้อย่างหนึ่ง 








วันอังคารที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2555

ไม้ประดับ:กล้วยไม้ไทย

ไม้ประดับ:การเพาะพันธุ์กล้วยไม้ 2

ไม้ประดับ:การเพาะพันธุ์กล้วยไม้ 1

ไม้ประดับดูดสารพิษ


บอสตันเฟิร์น Boston Fern

            เฟิร์นเป็นพืชคู่โลกที่มีมานานแสนนานแล้วชนิดหนึ่ง ดังปรากฏหลักฐานจากร่องรอยในหินฟอสซิลที่ขุดพบ เฟิร์นยังเป็นไม้ประดับยอดนิยมชนิดหนึ่งที่นิยมนำมาปลูกเป็นไม้ประดับทั้งในและนอกอาคาร บอสตันเฟิร์นมีลักษณะก้านใบแข็งโค้งออกและทิ้งตัวลงเมื่ออายุมากขึ้น ใบขึ้นหนาทึบ ไม่มีดอก นิยมปลูกในกระถางแขวนหรือในกระถางใช้ประดับตามเสาหิน เมื่อนำมาปลูกเป็นไม้ประดับในอาคาร บอสตันเฟิร์นต้องการการดูแลพอสมควร เนื่องจากเป็นพืชที่ต้องการความชุ่มชื้นอย่างสม่ำเสมอ ถ้าขาดน้ำสีของใบจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลและร่วงอย่างรวดเร็ว จึงควรหมั่นรดน้ำให้ดินชุ่มชื้นหรือฉีดพ่นด้วยละอองน้ำสม่ำเสมอ
            บอสตันเฟิร์น เป็นไม้ประดับที่ช่วยทำความสะอาดให้แก่อากาศภายในได้ดีชนิดหนึ่ง สามารถดูดสารพิษได้มาก โดยเฉพาะสารจำพวกฟอร์มาดีไฮด์ และยังช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่อาคารภายในอาคารได้เป็นอย่างดี 




ชื่อวิทยาศาสตร์:Nephrolepis exaltata
วงศ์:POLYPODIACEAE
ถิ่นกำเนิด:เขตร้อน
แสงแดด:กึ่งแดด
อุณหภูมิ:18–24 องศาเซลเซียส
ความชื้น:ต้องการความชื้นสูง
น้ำ:ต้องการน้ำมาก
การดูแล:หมั่นรดน้ำให้ดินชุ่มชื้นอยู่เสมอ แต่อย่าให้แฉะ โดยเฉพาะเวลาที่อากาศร้อนและแห้งควรฉีดพ่นละอองน้ำ ให้ใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักละลายน้ำให้เดือนละครั้ง
การปลูก:ขึ้นได้ดีในดินร่วนที่เก็บความชื้นได้ดี ส่วนผสมของดิน ใช้ดินร่วน ทราย เศษอิฐหัก ใบไม้ผุ ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอก ในอัตราส่วนเท่าๆ กัน
การขยายพันธุ์:การแยกกอ
อัตราการคายความชื้น:มาก
อัตราการดูดสารพิษ:มาก



เบญจมาศ Chrysanthenum

          เบญจมาศเป็นไม้ล้มลุกขนาดเล็กที่ดอกมีสีสันสดใส นิยมนำมาปลูกเป็นไม้ประดับกลางแจ้ง ใช้คลุมดินตามแนวทางเดินหรือริมรั้วเพราะเป็นต้นไม้ที่ชอบแดด แต่เบญจมาศก็สามารถนำมาปลูกเป็นไม้ประดับภายในอาคารได้เพราะถ้ามีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมก็สามารถออกดอกได้สวยงาม จึงเป็นที่นิยมนำมาเป็นไม้ประดับภายในอาคารเพื่อสร้างสีสันสดใสให้กับสถานที่ แต่มีน้อยคนนักที่จะรู้ว่าเบญจมาสเป็นไม้ประดับที่มีความสามารถสูงมากในการดูดสารพิษภายในอาคาร
           เบญจมาศ เป็นไม้ขนาดเล็กสูงประมาณ 1-3 ฟุต ตามกิ่งก้านและลำต้นมีขนละเอียด ใบเรียวรี ขอบใบหยัก ใบสีเขียวอ่อนนุ่มมีขนอ่อนๆ ทั่วทั้งใบ ดอกกลม กลีบใบจะซ้อนๆ กันมีหลากหลายสี เช่น สีแดง สีบานเย็น สีขาว สีม่วง น้ำเงิน สีเหลือง เบญจมาศเป็นไม้กลางแจ้งที่ชอบแดด ต้องการน้ำปานกลาง และความชื้นอย่างสม่ำเสมอ ดังนั้นเมื่อนำมาปลูกภายในอาคารจึงควรตั้งไว้ในที่ๆ แสงแดดส่องถึง รดน้ำอย่างสม่ำเสมอก็จะสามารถออกดอกได้ตลอดทั้งปี
          นอกจากดอกที่มีสีสันสดใสทำให้บรรยากาศภายในสดชื่นสว่างไสว ซึ่งเป็นลักษณะเด่นของเบญจมาศแล้วเบญจมาศยังเป็นไม้ประดับที่มีความน่าสนใจมาก อันเนื่องมาจากประสิทธิภาพในการดูดสารพิษสูงมาก จำพวกสารพิษ ฟอร์มาดีไฮด์ เบนซีน และแอมโมเนีย จึงไม่ควรมองข้ามที่จะหาเบญจมาศมาปลูกในสำนักงานหรือบ้านเรือน
ชื่อวิทยาศาสตร์:Chrysanthemum monrifolium
วงศ์:COMPOSITAE
ถิ่นกำเนิด:จีน ญี่ปุ่น
แสงแดด:แดดจัด
อุณหภูมิ:18–24 องศาเซลเซียส
ความชื้น:ต้องการความชื้นสูง
น้ำ:ต้องการน้ำมาก
การดูแล:เบญจมาศเป็นพรรณไม้ที่ต้องการแสงมากเมื่อปลูกเป็น ไม้ประดับในอาคารจึงควรตั้งไว้ริมหน้าต่างหรือในที่ๆ มีแสงส่องถึง ต้องการน้ำพอสมควร และต้องการความชื้นมากจึงควรหมั่นฉีดพ่นละอองน้ำ ใส่ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกเดือนละ 1-2 ครั้ง
การปลูก:เป็นพรรณไม้ที่ปลูกที่แสงแดดจัด กึ่งแดด เบญจมาศชอบดินร่วนซุยที่อุดมด้วยอินทรียวัตถุ ส่วนผสมของดินใช้ดินร่วน 2 ส่วน ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอก 1 ส่วน เศษใบไม้ผุ 1 ส่วน
การขยายพันธุ์:โดยการเพาะเมล็ด
อัตราการคายความชื้น:มาก
อัตราการดูดสารพิษ:มาก

เยอบีร่า 
Gerbera Daisy

                เยอบีร่าเป็นไม้ประดับที่มีดอกสีสวยสดใส และคงทนอยู่ได้นานแม้จะตัดออกมาปักแจกันแล้วก็ยังอยู่ได้นานหลายวัน จึงเป็นไม้ประดับที่นิยมนำมาประดับภายในอาคาร เพราะไม่เพียงแต่ความสวยเท่านั้น เยอบีร่ายังมีประสิทธิภาพสูงในการดูดสารพิษภายในอาคารได้อย่างดีเยี่ยมอีกด้วย เยอบีร่าเป็นพรรณไม้พุ่ม มีลำต้นอยู่ใต้ดิน ใบเป็นแฉกมีสีเขียวสด ก้านใบและใบมีขนละเอียด ก้านดอกแตกออกจากลำต้นใต้ดินยาวตั้งตรง ดอกมีสีสันหลากหลาย เช่น แดง ส้ม เหลือง หรือแม้แต่ม่วง ชมพู และขาว เป็นต้น
                เยอบีร่า เป็นไม้ประดับอีกชนิดหนึ่งที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่า มีความสามารถสูงในการดูดสารพิษจากอากาศภายในอาคาร มีอัตราการคายความชื้นสูง ประกอบกับมีความสวยงาม จึงเป็นไม้ประดับอีกชนิดหนึ่งที่มีคุณค่าและเหมาะแก่การปลูกไว้ประดับในอาคารสำนักงานและบ้านเรือน
ชื่อวิทยาศาสตร์: Gerbera Jamesonii
วงศ์: COMPOSITAE
ถิ่นกำเนิด: อาฟริกาใต้
แสงแดด: แสงแดดจัด กึ่งแดด
อุณหภูมิ: 16–18 องศาเซลเซียส
ความชื้น: ต้องการความชื้นปานกลาง
น้ำ: ต้องการน้ำปานกลาง
การดูแล: เป็นพืชที่ชอบแสงแดดจัด ต้องการน้ำและความชื้นในระดับปานกลาง จึงควรให้น้ำอย่างเพียงพอ แต่อย่าให้แฉะ ให้ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกอย่างสม่ำเสมอ
การปลูก: เจริญเติบโตได้ดีในดินอุดมสมบูรณ์และร่วนซุย ใช้ดินร่วน ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอก เศษใบไม้ผุ ทรายหยาบ ในอัตราส่วน 2:1:1:1
การขยายพันธุ์: การแบ่งหน่อหรือแยกกอ
อัตราการคายความชื้น: มาก
อัตราการดูดสารพิษ: มาก

เดหลี Peace Lily
                  เดหลีเป็นไม้ประดับที่โดดเด่นมากชนิดหนึ่ง เนื่องจากให้ดอกสีขาวที่สวยงาม จึงเป็นที่นิยมนำมาปลูกเป็นไม้ดอกไม้ประดับภายในอาคาร เป็นไม้ที่คายความชื้นสูง ในขณะที่มีความสามารถสูงในการดูดพิษภายในอาคาร เดหลีเป็นไม้ประดับที่มีใบสีเขียวเข้มมันเป็นวาว ดอกเป็นช่อสีขาวหรือขาวแกมเหลือง กาบหุ้มช่อดอกมีสีขาวคล้ายดอกหน้าวัว เป็นไม้พุ่มเตี้ยสูงประมาณ 30–60 เซนติเมตร โดยธรรมชาติแล้วเดหลีชอบขึ้นอยู่ตามริมลำธารที่มีร่มเงาในป่าฝนเขตร้อน แต่เมื่อนำมาปลูกเป็นไม้ดอกไม้ประดับภายในอาคารเดหลีก็สามารถปรับตัวได้ดี และเป็นไม้ดอกไม้ประดับในจำนวนน้อยชนิดที่สามารถออกดอกได้ภายในอาคาร ถึงแม้จะมีความชื้นต่ำและได้รับแสงจากหลอดไฟฟ้าเท่านั้น เพียงแต่ดินต้องมีความชุ่มชื้นอยู่เสมอ
                  เดหลี  สามารถดูดสารพิษจำพวกแอลกอฮอล์ อาซีโตน ไตรคลอไรเอทีรีน เบนซีนและฟอร์มาดีไฮด์ และสามารถดูดได้ในปริมาณมาก จึงไม่ควรลืมที่จะปลูกเดหลีเป็นไม้ประดับไว้ภายในอาคารสำนักงานหรือภายในบ้านเรือน
ชื่อวิทยาศาสตร์: Spathiphyllum Clevelandii
วงศ์: ARACEAE
ถิ่นกำเนิด: โคลัมเบีย เวเนซูเอลา
แสงแดด: แสงแดดอ่อน รำไร
อุณหภูมิ: 16–24 องศาเซลเซียส
ความชื้น: ต้องการความชื้นสูง
น้ำ: ต้องการน้ำปานกลาง
การดูแล: ควรรดน้ำอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ดินมีความชุ่มชื้น ควรรดมากขึ้นถ้าอากาศร้อน แต่ถ้าอากาศเย็น ก็ลดปริมาณการรดน้ำลง ใช้ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกละลายน้ำรดเดือนละ 1–2 ครั้ง หมั่นทำความสะอาดใบจะช่วยป้องกันแมลงได้
การปลูก: ปลูกลงกระถางโดยใช้ส่วนผสมของ ดินร่วน ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอก เศษใบไม้ผุ และทรายหยาบ ในอัตราส่วน 2:1:1:1
การขยายพันธุ์: การแยกกอ
อัตราการคายความชื้น: มาก
อัตราการดูดสารพิษ: มาก

กุหลาบพันปี Azalea
               กุหลาบพันปีเป็นต้นไม้ที่เติบโตอยู่บนที่สูงและชอบอากาศหนาวเย็น สำหรับในเมืองไทยพบได้ตามยอดเขาสูงแถบภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และมีการนำกุหลาบพันปีมาปลูกเป็นไม้ประดับประปราย โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาวเนื่องจากมีดอกที่สวยงาม และเมื่อหมดดอกก็จะเติบโตในกระถางได้แต่จะออกดอกน้อยลง เมื่อพ้นฤดูหนาว
               กุหลาบพันปี  เป็นไม้พุ่มสูงประมาณ 1-3 เมตร ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับรูปรีแกมรูปไข่กลับ กว้าง 1-2.5 ซม. ยาว 2-6 ซม. แผ่นใบเหนียวหนา มีขนประปรายทั้ง 2 ด้าน ดอกสีแดงแกมส้ม ออกเป็นช่อที่ซอกใบหรือปลายกิ่ง จำนวน 2-7 ดอก กลีบรองดอกรูปถ้วยตื้น ปลายแยก 5 แฉก ด้านนอกมีขน กลีบดอกรูปกรวย ยาว 2-3 ซม. ปลายแยก 5 แฉก เกสรตัวผู้ 10 อัน ผลรูปไข่ ยาว 1-1.5 ซม. มีขนสีน้ำตาลแดง เมื่อแก่แตกตามยาว เมล็ดแบน ขนาดเล็ก มีปีกบางใสจำนวนมาก
               กุหลาบพันปี เป็นพืชที่ชอบน้ำ เครื่องปลูกจะต้องมีความชุ่มชื้นอยู่เสมอ แต่ไม่ขังแฉะ ถ้าหากปล่อยให้เครื่องปลูกแห้ง อาจจะทำให้ตายได้ เนื่องจากว่ารากของอาซาเลียมีขนาดเล็กมาก และถ้าหากสูญเสียน้ำมากอาจจะทำให้รากแห้งตาย และมีผลต่อการเจริญเติบโตได้
               การปลูกกุหลาบพันปีภายในอาคารนอกจากความสวยงามของดอกที่จะสร้างบรรยากาศให้กับห้องแล้วกุหลาบพันปียังมีคุณสมบัติในการดูดสารพิษได้ดีอีกด้วย
ชื่อวิทยาศาสตร์: Rhododendron moulmeinene Hook
วงศ์: ERICACEAE
ถิ่นกำเนิด: จีนตอนใต้ ไต้หวัน ญี่ปุ่น ลาว และเวียดนาม
แสงแดด: แดดร่มรำไร
อุณหภูมิ: 14-18 องศาเซลเซียส
ความชื้น: ต้องการความชื้นปานกลาง
น้ำ: ชอบน้ำมากแต่ไม่ขังแฉะ
การดูแล: อาซาเลียเป็นพืชชอบน้ำ เครื่องปลูกจะต้องมีความชุ่มชื้นอยู่เสมอ แต่ไม่ขังแฉะ 
การปลูก: เครื่องปลูกจะต้องอุ้มน้ำได้ดี ร่วนซุย แต่ต้องระบายน้ำได้ดีเช่นกัน ถ้าเครื่องปลูกแน่นมาก รากจะชอนไชในเนื้อดินหรือเครื่องปลูกไม่ได้ทำให้ไม่เจริญเติบโต ควรใช้ดินร่วนผสมกับแกลบ ขุยมะพร้าว ปุ๋ยคอก หรือปุ๋ยหมักเป็นเครื่องปลูก
การขยายพันธุ์: ปักชำกิ่งและเพาะเมล็ด
อัตราการคายความชื้น: น้อย
อัตราการดูดสารพิษ: ปานกลาง

มังกรคาบแก้ว 
Christmas Cactus

               มังกรคาบแก้วเป็นไม้ประดับที่ปลูกเลี้ยงประดับได้เป็นสองแบบ คือในช่วงฤดูการเจริญเติบโตทางต้นและใบจะสวยงามคล้ายไม้ใบจำพวกกระบองเพชรที่มีใบสีเขียวหัวห้อยลง แต่เมื่อเข้าฤดูหนาวอากาศเย็นและกลางวันสั้นลง กลางคืนยาวนานจะกระตุ้นให้ออกดอกสีสันสวยงาม และดอกจะบานเต็มที่ในช่วงเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่
               มังกรคาบแก้ว เป็นไม้อวบน้ำในกลุ่มกระบองเพชร กิ่งและใบมีสีเขียวเข้ม ใบมีลักษณะแบน ขอบใบหยักคล้ายใบเสมา ดอกมีสีสดสวยและมีมากมายหลายชนิดหลายพันธุ์จึงมีสีสันต่างกันไป เช่น แดง ส้ม ม่วง เหลือง และชมพู
               มังกรคาบแก้ว เป็นพืชที่ขยายพันธุ์ง่าย ปลูกเลี้ยงง่าย สามารถปลูกเลี้ยงได้ทั้งภายนอกและภายในอาคาร ควรปลูกเลี้ยงให้ได้แสงจัด แต่ไม่ใช่แสงแดดโดยตรง ควรแขวนกระถางไว้ในที่ที่มีอากาศโปร่งถ่ายเทลมดี
ชื่อวิทยาศาสตร์: Schlumbergera
วงศ์: CACTACEAE
ถิ่นกำเนิด: ประเทศบราซิล
แสงแดด: แสงจัดแต่ไม่ใช่แสงแดดโดยตรง
อุณหภูมิ: 16-24 องศาเซลเซียส
ความชื้น: ต้องการความชื้นสูง
น้ำ: ต้องการน้ำปานกลาง
การดูแล: ควรปลูกเลี้ยงให้ได้แสงจัด แต่ไม่ใช่แสงแดดโดยตรง ควรแขวนกระถางไว้ในที่ที่มีอากาศโปร่งถ่ายเทลมดี แต่มีความชื้นสูง รดน้ำวันละ 1 ครั้ง ใช้ปุ๋ยสูตร 8-30-15 หากจะให้ดอกดก หรือใช้สูตร 14-14-14 ควบคู่กับสูตร 8-24-24 ในช่วงฤดูหนาว
การปลูก: เครื่องปลูกที่ระบายน้ำและถ่ายเทอากาศได้ดี เช่น กาบมะพร้าวสับขนาดกลางผสมกับใบก้ามปูผุ
การขยายพันธุ์: การปักชำ
อัตราการคายความชื้น: ปานกลาง
อัตราการดูดสารพิษ: ปานกลางถึงมาก

บีโกเนียใบมัน Wax Begonia


                บีโกเนียใบมันเป็นไม้ประดับที่นิยมปลูกในบ้านเรา เพราะมีใบเป็นมันสวยและดอกมีสีสันสวย ปลูกประดับได้ทั้งใบและดอก ชอบแดดรำไรและอากาศค่อนข้างเย็น จึงต้องปลูกในเรือนชำหรือในที่ร่มและต้องระวังไม่ให้โดนฝน เพราะจะเป็นเชื้อราและเน่าตายได้ง่าย
                บีโกเนีย ใบมันเป็นไม้อวบน้ำอายุยืน มีเหง้าอยู่ใต้ดิน ลำต้นสูงประมาณ 15-45 ซม. ใบเป็นใบเดี่ยวสีเขียวเข้ม เป็นมันเงา มีขนเหมือนกำมะหยี่ มีลักษณะคล้ายรูปหัวใจเบี้ยว คือแผ่นใบสองข้างไม่เท่ากัน ใบออกสลับเวียนรอบลำต้น ดอกออกเป็นช่อแทงออกจากซอกใบ ช่อดอกตัวผู้แยกจากช่อดอกตัวเมียแต่อยู่บนต้นเดียวกัน ดอกตัวมีเมียมีรังไข่ที่โป่งออกเป็นปีกสามแฉกที่โคนดอก ดอกตัวเมียบานทนกว่าดอกตัวผู้ ดอกมีหลายสี เช่น แดง ชมพู ส้ม ขาว
                คุณสมบัติของบีโกเนียในการขจัดสารพิษในอากาศและคายความชื้นอยู่ในระดับน้อย
ชื่อวิทยาศาสตร์: Begonia sempreflorens
วงศ์: BEGONIACEAE
ถิ่นกำเนิด: เอเชีย และ อเมริกา
แสงแดด: แสงแดดรำไร
อุณหภูมิ: 16-20 องศาเซลเซียส
ความชื้น: ต้องการความชื้นปานกลาง
น้ำ: ต้องการน้ำปานกลาง
การดูแล: ควรวางบริเวณที่มีแสงแดดรำไร รดน้ำปานกลาง อย่าให้แฉะ และควรรดปุ๋ยทางใบ ทุกๆ 2 สัปดาห์
การปลูก: ดินที่ใช้ปลูกควรเป็นดินร่วนซุยที่มีความอุดมสมบูรณ์ ระบายน้ำได้ดี
การขยายพันธุ์: เพาะเมล็ด ปักชำยอดและใบ
อัตราการคายความชื้น: น้อย
อัตราการดูดสารพิษ: น้อย

ที่มา:http://www.panmai.com/Pollution/Pollution_34.shtml